ในปี 2568 เจ้าของกิจการจำนวนมากยังเผชิญโจทย์เดิมคือ ธุรกิจต้องเดิน แต่เครดิตในระบบตึงขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมยังหดตัว โดยเฉพาะกลุ่ม สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่ถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังสูงอยู่ ผลคือ เมื่อจะ ขอสินเชื่อธุรกิจ จริง ๆ เจ้าของกิจการมักต้องเลือกระหว่าง สินเชื่อแบบมีหลักประกัน (รวมถึงกรณีมี บสย. ค้ำเพิ่ม) สินเชื่อแบบไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำ เช่น กลุ่ม สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน2568, สินเชื่อรายได้เดินบัญชี, วงเงินหมุนเวียนที่อิงพฤติกรรมการเงินจริง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ ดอกเบี้ยเท่าไร แต่คือ ต้นทุนที่แท้จริงต่อปี (EIR) ของแต่ละแบบอยู่ที่ไหน และความเร็วการอนุมัติคุ้มกับความเสี่ยงไหม บทความนี้จะขยายหัวข้อ ต้นทุนจริง (EIR) และความเร็วอนุมัติ: แบบค้ำ vs ไม่ค้ำ จากบทความหลักของ EasyCashflows ให้เป็นภาพอ่านง่ายในสไตล์ Bloggang เพื่อช่วยให้คุณวางแผนทั้ง สินเชื่อsme และชุดวงเงินธุรกิจได้อย่างมีเหตุผล ก่อนจะชวนไปอ่านบทความฉบับเต็มในตอนท้าย
1. ทำความเข้าใจ ต้นทุนจริง (EIR) ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อธุรกิจ หลายคนคุ้นกับคำว่า ดอกเบี้ยต่อปี หรือ อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น แต่เวลาตัดสินใจ ขอสินเชื่อsme หรือเทียบข้อเสนอ สินเชื่อ SME จริง ๆ ตัวเลขที่ควรดูคือ EIR Effective Interest Rate หรือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง สถาบันการเงินอธิบายตรงกันว่า EIR คืออัตราดอกเบี้ยที่รวมต้นทุนทั้งหมดที่ผู้กู้ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญา เช่น ดอกเบี้ยตามสัญญา ค่าธรรมเนียม ค่าประเมินทรัพย์ ค่าทำนิติกรรม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วเฉลี่ยออกมาเป็น % ต่อปีเดียวให้เปรียบเทียบกันง่าย ๆ ความต่างสำคัญของ EIR vs ดอกเบี้ย ป้ายหน้า ดอกเบี้ยป้ายหน้า: เหมือนเห็น ราคาหน้าป้าย ยังไม่รวมค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายอื่น EIR: เหมือน ราคารวมสุทธิ ที่รวมทุกค่าใช้จ่ายแล้วว่ากู้ 1 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญาแท้จริงจ่ายกี่บาทต่อปี ในบริบทปี 2568 ซึ่งธนาคารต้องตั้งสำรองเผื่อความเสี่ยงและเข้มงวดกับลูกหนี้ SME มากขึ้นตัวเลข EIR จึงยิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้เจ้าของกิจการเห็นว่า แบบค้ำประกันที่ดอกเบี้ยป้ายหน้าดูต่ำ กับสินเชื่อหมุนเวียนเร็ว หรือ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน 2568 ที่ดอกเบี้ยป้ายหน้าสูงกว่า เมื่อรวมค่าธรรมเนียม เบี้ยค้ำ และเงื่อนไขต่าง ๆ แล้ว ใครคือตัวเลือกที่คุ้มจริง ในระยะเวลาที่ใช้จริง
2. แบบค้ำประกัน: EIR มักต่ำกว่า แต่แลกกับเวลาและความละเอียดของเอกสาร กลุ่มสินเชื่อแบบค้ำประกัน รวมถึงกรณีที่ใช้ บสย.ค้ำประกัน ให้กับ สินเชื่อธุรกิจ หรือ สินเชื่อ SME มีจุดเด่นแบบกว้าง ๆ ดังนี้ 2.1 จุดแข็งด้านต้นทุนจริง (EIR) 1. ดอกเบี้ยตามสัญญามักต่ำกว่าแบบไม่ค้ำ เพราะผู้ให้กู้มีทรัพย์สินหรือการค้ำของ บสย. มารับความเสี่ยงส่วนหนึ่ง ทำให้สามารถตั้งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าได้ในเชิงโครงสร้าง 2. วงเงินสูงกว่าผ่อนยาวกว่า การประเมินวงเงินจะอิงมูลค่าหลักประกัน (LTV) และความสามารถชำระหนี้ (DSCR) หากกิจการมีกระแสเงินสดดีและมีสินทรัพย์เพียงพอ จะได้วงเงินขนาดใหญ่พร้อมระยะเวลาผ่อนที่ยาวกว่า เหมาะกับงานลงทุน เช่น เครื่องจักร อาคาร หรือโครงการขยายโรงงาน 3. หากใช้วงเงินจนคุ้ม อายุโครงการยาวพอ EIR จะ เฉลี่ยลง เมื่อค่าใช้จ่ายครั้งเดียว (เช่น ค่าประเมิน ค่าจดจำนอง ค่าค้ำประกัน) ถูกเฉลี่ยทับลงบนจำนวนปีที่ใช้งานจริง EIR มักออกมาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสินเชื่อหมุนเวียนแบบสั้นที่แพงกว่า 2.2 จุดที่ต้องเข้าใจด้านความเร็วอนุมัติ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่เจ้าของกิจการต้องยอมรับคือ ในทางปฏิบัติ การอนุมัติแบบค้ำประกัน ใช้เวลามากกว่า แบบไม่ค้ำ เพราะต้องมีขั้นตอน ◦ ประเมินหลักประกัน (ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ฯลฯ) ◦ ตรวจสอบเอกสารสิทธิและภาระผูกพัน ◦ วิเคราะห์งบการเงินและสเตทเมนต์ย้อนหลัง กรณีใช้ บสย.ค้ำประกัน ยังต้องมีขั้นตอนพิจารณาและอนุมัติมิติการค้ำของ บสย. เพิ่มเข้ามา แม้ปัจจุบันระบบจะดิจิทัลและเร็วขึ้นมากแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของกิจการวางแผนลงทุนล่วงหน้า เช่น ซื้อเครื่องจักร เปิดไลน์ผลิตใหม่ ขยายสาขา การเลือกรอสินเชื่อแบบค้ำประกันที่ EIR ต่ำกว่า ก็เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมและช่วยให้ธุรกิจไม่ต้อง กดดันตัวเอง ด้วยดอกเบี้ยแพงในระยะยาว
3. แบบไม่ค้ำประกัน: ความเร็วความยืดหยุ่นสูง แลกกับ EIR ที่สูงกว่า อีกฝั่งหนึ่งคือสินเชื่อที่เน้น ความเร็วและความยืดหยุ่น ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์จดจำนอง เช่น วงเงินหมุนเวียนอ้างอิงยอดเดินบัญชี สินเชื่อรายได้ประจำในระบบ วงเงินอนุมัติเร็วสำหรับกลุ่ม สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน 2568 ที่อิงข้อมูลธุรกรรมจริงและการวิเคราะห์พฤติกรรม 3.1 จุดแข็งด้านความเร็วอนุมัติ 1. ขั้นตอนสั้นกว่า ใช้ข้อมูลดิจิทัลมากขึ้น ธนาคารและ NonBank จำนวนมากพยายามใช้ข้อมูลเครดิตบูโร สเตทเมนต์ดิจิทัล และพฤติกรรมการรับจ่ายในบัญชี มาช่วยตัดสินใจ ทำให้กระบวนการอนุมัติรวดเร็วกว่าสินเชื่อแบบค้ำที่ต้องประเมินทรัพย์เพิ่ม 2. เหมาะกับสถานการณ์ ต้องใช้เงินเร็ว แต่มีรายได้เดินบัญชีจริง เช่น รอเก็บเงินลูกค้าเครดิตเทอม 60 วัน หรือมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกะทันหันแต่ต้องรีบสต๊อกสินค้า 3. ใช้เป็น สะพานสั้น ช่วยพาธุรกิจไม่สะดุดระหว่างทาง ถ้าเจ้าของกิจการมีวินัยในการใช้และปิดวงเงินทันทีที่ไม่จำเป็นแล้ว EIR แม้จะสูงกว่า ก็ยังอาจคุ้มเมื่อเทียบกับต้นทุนของการเสียโอกาสทางธุรกิจ 3.2 ข้อควรระวังด้าน EIR และภาระหนี้ 1. อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงกว่าโดยโครงสร้าง เนื่องจากผู้ให้กู้รับความเสี่ยงเต็ม ๆ โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ การตั้งราคา EIR จึงสูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อรวมค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ วงเงินพร้อมใช้ และค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ 2. ถ้าใช้วงเงินก้อนใหญ่นานเกินไป ภาระดอกเบี้ยจะบานอย่างรวดเร็ว ตรงนี้เป็นจุดที่บทความและผู้กำกับดูแลหลายแห่งเตือนอยู่เสมอว่า สินเชื่ออัตราสูงควรถูกใช้ในกรอบระยะเวลาสั้น ไม่ควรนำไปแทนสินเชื่อระยะยาวเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ 3. ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ SMEs ยังเปราะบาง รายงานล่าสุดของ ธปท. ระบุว่า คุณภาพหนี้ของ SMEs ยังเป็นจุดที่ต้องเฝ้าระวัง แม้ระบบธนาคารจะมีเงินกองทุนและสภาพคล่องสูงก็ตาม การใช้สินเชื่อแบบไม่ค้ำที่มี EIR สูง โดยไม่ผูกกับกระแสเงินสดจริงจึงเสี่ยงต่อการทำให้ DSCR/DSR ของกิจการตึงเกินจำเป็น กล่าวโดยสรุป สินเชื่อแบบไม่ค้ำเหมาะกับ เงินหมุนเร่งด่วนวงเงินไม่ใหญ่ใช้สั้น ๆ แต่ไม่เหมาะกับการแบกก้อนใหญ่ระยะยาว
4. มองคู่กัน: ต้นทุนจริง (EIR) vs ความเร็วอนุมัติ เลือกอย่างไรให้เหมาะกับปี 2568 เมื่อเอาทั้งสองมุมมาวางคู่กัน เราจะเห็นภาพดังนี้ แบบค้ำประกัน / มี บสย. ค้ำเพิ่ม ◦ EIR โดยรวมมักต่ำกว่า ◦ วงเงินสูงอายุสัญญายาว เหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์หรือขยายโครงการ ◦ ใช้เวลาพิจารณานานกว่า ต้องเตรียมเอกสารละเอียด แบบไม่ค้ำ / สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน 2568 ◦ ความเร็วอนุมัติและความยืดหยุ่นสูง ◦ อิงข้อมูลรายได้จริงและการเดินบัญชี เหมาะกับกิจการที่มีรายรับในระบบชัด ◦ EIR สูงกว่า เหมาะใช้เป็นสะพานระยะสั้น ไม่ใช่สินเชื่อเพื่อการลงทุนระยะยาว Rule of Thumb เชิงกลยุทธ์ 1. งานยาวก้อนใหญ่มีทรัพย์ค้ำ → ให้พิจารณา สินเชื่อธุรกิจแบบค้ำประกัน (รวมถึงใช้ บสย. ค้ำเสริม) เป็นหลัก แล้วออกแบบค่างวดให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดในอนาคต 2. งานสั้นเร่งด่วนก้อนไม่ใหญ่ → ใช้วงเงินหมุนเวียน เช่น OD, แฟคตอริ่ง หรือสินเชื่อหมุนเวียนแบบไม่ค้ำที่ออกแบบมาเพื่อ SME โดยเฉพาะ แต่ควรกำหนด วันเริ่มใช้วันปิดหนี้ ให้ชัด และไม่ปล่อยให้วงเงินแพงกลายเป็นภาระถาวร 3. ใช้ข้อมูล EIR เป็นฐานในการเปรียบเทียบจริง ทุกครั้งที่เปรียบเทียบข้อเสนอ สินเชื่อsme หรือการ ขอสินเชื่อธุรกิจ จากหลายสถาบัน อย่ามองแค่ดอกเบี้ยป้ายหน้า ให้ขอข้อมูล EIR หรือใช้เครื่องมือคำนวณจากธนาคาร/หน่วยงานรัฐในการเทียบต้นทุนแท้จริง
5. สรุป: ใช้ แบบค้ำ และ ไม่ค้ำ ให้เป็นทีมเดียวกัน ไม่ใช่คู่แข่งกัน ในโลกจริง เจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง 100% ระหว่างสินเชื่อแบบค้ำกับแบบไม่ค้ำ หากเข้าใจ ต้นทุนจริง (EIR) และ จุดถนัด ของแต่ละผลิตภัณฑ์แล้ว สามารถออกแบบให้ทำงานร่วมกันได้ เช่น ใช้สินเชื่อแบบค้ำเป็น โครงหลัก รองรับการลงทุนใหญ่ ดอกเบี้ยถูก ค่างวดสมเหตุสมผล ใช้สินเชื่อหมุนเวียนแบบไม่ค้ำในกรอบระยะเวลาสั้น ๆ เพื่ออุดช่องว่างกระแสเงินสด โดยคุมไม่ให้ EIR รวมของธุรกิจสูงเกินไป การวางโครงสร้างหนี้อย่างมีวินัยเช่นนี้ ทำให้คุณมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และวงเงินระดับสูงขึ้น เมื่อข้อมูลกระแสเงินสดและวินัยชำระหนี้เริ่มนิ่งในสายตาผู้ให้กู้
ชวนอ่านบทความหลัก: เจาะลึกตัวอย่างและกฎเลือกแบบค้ำ vs ไม่ค้ำ หากคุณต้องการดูตัวอย่างละเอียดว่า แบบค้ำ vs ไม่ค้ำ ส่งผลต่อ EIR และกระแสเงินสดอย่างไร กรณีศึกษาซื้อเครื่องจักร vs อุดเงินหมุนสั้น ๆ ควรจัดชุดวงเงินแบบไหน และกฎจำง่าย ๆ ในการเลือกใช้สินเชื่อแต่ละแบบให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ สามารถอ่านต่อแบบเต็ม ๆ ได้ในบทความหลักของ EasyCashflows ที่เชื่อมโยงกับบทความนี้โดยตรง คือ 👉 เปรียบเทียบสินเชื่อเพื่อธุรกิจบสยค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน ซึ่งในบทความหลัก คุณจะเห็นรายละเอียดเชิงตัวเลข กรอบคิด DSCR/LTV และกลยุทธ์ผสมวงเงินที่ช่วยให้การ ขอสินเชื่อธุรกิจ, วางแผน สินเชื่อsme และเลือกใช้ สินเชื่อไม่ใช้หลักประกัน 2568 เป็น เครื่องมือสร้างโอกาส มากกว่าภาระในระยะยาวของธุรกิจค่ะ
เข้าชม : 10
|