ในภาวะที่ต้นทุนทางการเงินยังเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของธุรกิจ SME หลายกิจการเริ่มมองหา ทางลัด เพื่อลดดอกเบี้ยและเพิ่มสภาพคล่อง ไม่ว่าจะเป็นการย้ายหนี้ไปแบงก์ใหม่ หรือใช้แหล่งเงินทุนไม่มีหลักทรัพย์แทนวงเงินเดิม คำถามที่เจ้าของกิจการมักถามตัวเองคือ
รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ ตอนนี้ คุ้มจริงไหม หรือจะกลายเป็นภาระยาวกว่าเดิม?
บทความนี้ขอชวนมาวางกรอบคิดแบบง่าย แต่ลงลึกพอสำหรับใช้ตัดสินใจเรื่อง รีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME โดยอ้างอิงแนวคิดจากบทความหลักของ EasyCashflows เรื่อง รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้จริงไหม? ซึ่งอธิบายไว้ชัดเจนว่าเป้าหมายของการรีไฟแนนซ์ คือการปรับเงื่อนไขหนี้ให้ ดีขึ้น ทั้งในด้านดอกเบี้ย เทนอร์ และกระแสเงินสดของกิจการ ไม่ใช่เพียงแค่ลดค่างวดชั่วคราวเท่านั้น
1. รีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME คืออะไร ในมุมที่เจ้าของกิจการควรรู้
โดยหลักแล้ว รีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME คือการนำ สินเชื่อใหม่ (อาจมาจากธนาคารเดิมหรือธนาคารใหม่ รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือ non-bank ที่ปล่อยสินเชื่อธุรกิจ) มาปิดหนี้เดิมทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะกับธุรกิจมากกว่าเดิม เช่น
อัตราดอกเบี้ยลดลง
ระยะเวลาผ่อนชำระยืดหยุ่นขึ้น
โครงสร้างหนี้สอดคล้องกับรอบเงินสดจริงของกิจการ
ในช่วงปี 25672568 ภาพรวมสินเชื่อsmeโดยเฉพาะกลุ่ม SME ยังขยายตัวอย่างระมัดระวัง ธนาคารพาณิชย์ยังเข้มงวดเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกันและคุณภาพหนี้ แต่มีสัญญาณว่าลูกค้าที่มีเอกสารและกระแสเงินสดชัดเจนจะได้เงื่อนไขดีขึ้น ทั้งด้านวงเงินและมาร์จินดอกเบี้ยที่ลดลงบางส่วน
ดังนั้น รีไฟแนนซ์ไม่ใช่ ของฟรี แต่เป็น เครื่องมือทางการเงิน ที่ถ้าใช้ถูกจังหวะ จะช่วยให้ธุรกิจลดดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่อง และจัดพอร์ตหนี้ให้เหมาะกับการเติบโตได้ แต่ถ้าใช้ผิดเวลา หรือยืดหนี้ยาวเกินจำเป็น ก็อาจจ่ายดอกเบี้ยรวมแพงกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
2. หลักคิดข้อที่ 1: เทียบ สิ่งที่จ่ายวันนี้ กับ สิ่งที่ประหยัดได้ทุกเดือน
หัวใจของข้อ 1) ในบทความหลักคือ การตอบคำถามว่า สิ่งที่จ่ายวันนี้ แลกกับสิ่งที่ได้ทุกเดือน คุ้มไหม?
เวลาคิดเรื่องรีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME เราไม่ได้ดูแค่ดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกกว่า แต่ต้องเอา ค่าใช้จ่ายย้ายหนี้ทั้งหมด มารวมเป็นก้อน เช่น
ค่าประเมินหลักประกัน (ถ้ามี)
ค่าธรรมเนียมจัดทำสัญญา
ค่าปิดสัญญาเดิมก่อนกำหนด
ค่าอากรแสตมป์ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
แล้วเอามาเทียบกับ เงินที่ประหยัดได้ต่อเดือน หลังจากเปลี่ยนมาใช้สินเชื่อใหม่ เช่น ค่างวดลดลง 20,000 บาทต่อเดือน ดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อปีถูกลง จุดคุ้มทุน (Break-even) จึงคิดง่าย ๆ ได้ว่า
จำนวนเดือนที่เงินประหยัด/เดือน = ชดเชยค่าใช้จ่ายย้ายได้ครบ
หากจุดคุ้มทุนออกมาสั้น (เช่น 1218 เดือน) และธุรกิจตั้งใจจะถือสินเชื่อก้อนนี้อีกหลายปี การรีไฟแนนซ์มัก คุ้ม ในเชิงมูลค่ารวม เพราะหลังผ่านจุดคุ้มทุนไปแล้ว เงินที่ประหยัดได้จะกลายเป็น ส่วนเพิ่มสภาพคล่อง ให้กับกิจการโดยตรง
ในทางกลับกัน ถ้าค่าใช้จ่ายย้ายสูงมาก แต่ส่วนต่างดอกเบี้ยหรือลดค่างวดได้แค่เล็กน้อย จนต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะคุ้มทุน แบบนี้ควรตั้งคำถามให้หนัก ว่า คุ้มแค่ไหนเมื่อเทียบกับความไม่แน่นอนของธุรกิจในอนาคต
3. หลักคิดข้อที่ 2: อย่าดูแค่ค่างวด ต้องดู ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญา
อีกจุดที่บทความหลักย้ำคือ การตัดสินใจรีไฟแนนซ์ต้องไม่หยุดอยู่ที่คำว่า ค่างวดถูกลง แต่ควรดู ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญา เป็นหลัก
ตัวอย่างเช่น
สัญญาเดิม: ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ยอดหนี้คงเหลือ 5 ล้านบาท เทนอร์เหลือ 5 ปี
ข้อเสนอใหม่: ดอกเบี้ย 7% ต่อปี แต่ยืดเทนอร์เป็น 10 ปี เพื่อให้ค่างวดลดลง
แม้ดอกเบี้ย อัตรา จะต่ำลง แต่เมื่อยืดระยะเวลาผ่อน มูลค่าดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาใหม่อาจสูงกว่าสัญญาเดิม เพราะจ่ายดอกเบี้ยนานกว่า ถ้าเจ้าของกิจการตัดสินใจจาก ค่างวด/เดือน เพียงอย่างเดียว อาจรู้สึกว่าหนี้เบาลง แต่จริง ๆ แล้ว จ่ายแพงขึ้นในระยะยาว
แนวปฏิบัติที่เป็นธรรมกับธุรกิจ คือ
ขอให้สถาบันการเงินช่วยสรุป ยอดดอกเบี้ยรวมที่คาด ของทั้งสัญญาเดิมและข้อเสนอใหม่
เปรียบเทียบบนฐานเวลาใกล้เคียงกัน ถ้าเทนอร์ใหม่ยาวกว่าเดิมมาก ควรวางแผน โปะเป็นช่วง ๆ เพื่อลดดอกเบี้ยรวม
หากจำเป็นต้องยืดงวดเพื่อให้ DSCR ผ่านเกณฑ์ ควรวางแผนการลดหนี้ในช่วงที่ยอดขายดี หรือเมื่อปิดโปรเจกต์สำคัญได้
ในตลาดปัจจุบัน สินเชื่อรีไฟแนนซ์สำหรับธุรกิจ SME ทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีโปรโมชั่นดอกเบี้ยช่วงแรกค่อนข้างต่ำ (เช่น ปีแรก 2.993.5%) ก่อนจะกลับสู่เรทปกติในปีถัด ๆ ไป เจ้าของกิจการจึงควรดู ค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยระยะยาว มากกว่ามองเพียงเรทปีแรกที่ถูกเป็นพิเศษ
4. หลักคิดข้อที่ 3: ตรวจสุขภาพกระแสเงินสดและ DSCR ก่อนย้ายหนี้
ในบทความหลัก EasyCashflows แนะนำชัดเจนว่า หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญคือ DSCR (Debt Service Coverage Ratio) หรืออัตราความสามารถชำระหนี้ ซึ่งคำนวณคร่าว ๆ จาก
เงินสดจากการดำเนินงาน ÷ ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อปี
หลักการคือ หลังรีไฟแนนซ์แล้ว DSCR ไม่ควรแย่ลง หรืออย่างน้อยควรอยู่ในระดับที่ธนาคารมองว่ายังปลอดภัย เช่น 1.21.5 เท่าขึ้นไปสำหรับหลาย ๆ ธุรกิจ SME
เหตุผลสำคัญคือ หากรีไฟแนนซ์แล้ว DSCR ลดลง แปลว่าธุรกิจต้องดึงเงินสดส่วนใหญ่ไปจ่ายหนี้ ทำให้กันชนสำหรับรับความผันผวนของยอดขายเหลือน้อย เสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต ซึ่งกระทบต่อประวัติเครดิตบูโร และอาจทำให้โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่มีหลักทรัพย์ในอนาคตลดลงด้วย
คำแนะนำเชิงปฏิบัติ
จัดทำ สรุปเงินสด 1 หน้า ระบุรายได้ ค่าใช้จ่าย และเงินเหลือสุทธิรายเดือน
ลองใส่ค่างวดใหม่หลังรีไฟแนนซ์ลงไปในตาราง แล้วดูว่าเงินเหลือยังมากพอหรือไม่
หาก DSCR หลังรีไฟแนนซ์ต่ำกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ควรกลับมาทบทวนขนาดวงเงิน และสมมติฐานรายได้ต้นทุน
5. รีไฟแนนซ์เมื่อไร คุ้ม เมื่อไรควร ชะลอ
เมื่อนำทั้ง 3 หลักคิดมารวมกัน เราสามารถจัดกรอบ คุ้มไม่คุ้ม ได้แบบใช้งานจริง เช่น
กรณีที่มัก คุ้ม
ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสัญญาเดิมกับสัญญาใหม่ อย่างน้อย 1.01.5% หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จุดคุ้มทุน (จากส่วนต่างค่างวด/เดือน) อยู่ในช่วง 1218 เดือน หรือน้อยกว่า และธุรกิจตั้งใจถือสัญญาอีกหลายปี
DSCR หลังรีไฟแนนซ์ ไม่น้อยกว่าเดิม หรือดีขึ้นเล็กน้อย
ธุรกิจต้องการจัดโครงสร้างหนี้ให้ตรงกับรอบเงินสด เช่น เปลี่ยนจากวงเงินระยะสั้นที่ต้องต่อทุกปี มาเป็นสินเชื่อ SME ระยะยาวที่มีเทนอร์ชัดเจน
กรณีที่ควร ชะลอ หรือทบทวน
ส่วนต่างดอกเบี้ยเล็กน้อย แต่ค่าใช้จ่ายการย้ายสูง ต้องใช้เวลาหลายปีจึงคุ้มทุน
จำเป็นต้องยืดเทนอร์มากจนดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาใหม่สูงกว่าสัญญาเดิมมาก
สถานการณ์ธุรกิจยังไม่แน่นอน ยอดขายผันผวนสูง ปรับโครงสร้างหนี้แบบ รีไฟแนนซ์ อาจไม่ตอบโจทย์เท่ากับโครงการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้เชิงลึกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินร่วมกันดำเนินอยู่
6. กรณีพิเศษ: รีไฟแนนซ์ไปยัง แหล่งเงินทุนไม่มีหลักทรัพย์
ในปี 2568 เจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อยเริ่มสนใจ แหล่งเงินทุนไม่มีหลักทรัพย์ มากขึ้น เช่น สินเชื่อไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันจากธนาคาร หรือผู้ให้กู้ในระบบที่ใช้ข้อมูลรายได้รายการเดินบัญชีเป็นหลักแทนโฉนดที่ดิน
ข้อดีคือ
เข้าถึงวงเงินได้แม้ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน
กระบวนการอนุมัติบางแห่งเร็วกว่า
ยืดหยุ่นต่อธุรกิจที่เติบโตบนแพลตฟอร์มออนไลน์/เดลิเวอรี
แต่ข้อควรระวังคือ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อประเภทนี้มักสูงกว่าหนี้ที่มีหลักประกัน และอาจมีค่าธรรมเนียมแฝง จึงยิ่งต้องคำนวณ จุดคุ้มทุน และเปรียบเทียบ ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญา อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
หากใช้สินเชื่อไม่ใช้หลักประกันเป็น สะพานสั้น ๆ เพื่อจัดระเบียบหนี้และเสริมสภาพคล่องระยะสั้น แล้ววางแผนย้ายกลับไปเป็นสินเชื่อแบบมีหลักประกันในอนาคต ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจผ่านช่วงตึงตัวได้โดยยังรักษาเครดิตไว้ได้ดี
7. สรุป: รีไฟแนนซ์ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ย แต่คือการออกแบบ บ้านทางการเงินใหม่ ให้ธุรกิจ
ท้ายที่สุด การ รีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME ควรถูกมองว่าเป็นการออกแบบ บ้านทางการเงินหลังใหม่ ให้ธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ย้ายบ้านเพราะเห็นโปรดอกเบี้ยสวย ๆ ในปีแรก
ถ้าเจ้าของกิจการสามารถตอบโจทย์ 3 ข้อได้ชัดเจน
ค่าใช้จ่ายย้ายหนี้คุ้มกับเงินที่ประหยัดได้ต่อเดือน ภายในเวลาที่ธุรกิจรับได้
ดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาใหม่ ต่ำกว่าหรืออย่างน้อยไม่สูงกว่าเดิมมาก
DSCR และกระแสเงินสดของกิจการไม่แย่ลงหลังรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์ก็มีโอกาสสูงที่จะช่วยลดภาระดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่อง และเปิดทางให้ธุรกิจเติบโตบนฐานทุนที่แข็งแรงขึ้นในระยะยาว
หากคุณต้องการเห็นตัวอย่างการคำนวณจุดคุ้มทุนแบบละเอียด วิธีประเมินผลต่อกระแสเงินสด และเช็กลิสต์คำถามที่ควรถามสถาบันการเงินก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ แนะนำให้อ่าน บทความหลักฉบับเต็มของ EasyCashflows เรื่อง
รีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ ช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้จริงไหม?
ซึ่งอธิบายขั้นตอนคิดเลข 4 ขั้น และกรณีศึกษาเพิ่มเติมสำหรับเจ้าของกิจการที่กำลังพิจารณา รีไฟแนนซ์สินเชื่อ SME ในปี 2568 นี้อย่างรอบคอบมากขึ้น
เข้าชม : 6
|